หนังสือเรื่อง บันทึกเจริญไชย คนจีนสยาม
แต่ง/แปล กลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูย่านเจริญไชย
ผู้แนะนำ วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
ปีที่พิมพ์ ๓๐ พฤศจิกายน ๕๔๒
ขนาด ๑๔๘ X ๒๑๐ ม.ม.
จำนวนหน้า ๒๑๔
บันทึกเจริญไชย คนจีนสยาม”
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
หนังสือปกแข็งสี่สีทั้งเล่ม จำนวน ๒๑๔ หน้า ราคา ๒๕๐ บาท มี “เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์” เป็นบรรณาธิการ จัดทำขึ้นโดยคนในชุมชนเจริญไชยเป็นหลัก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์และเขียนขึ้นมาด้วยคนในย่านการค้าเจริญไชยเอง เนื่องจากเป็นหนังสือของคนเมืองที่ใกล้ชิดกับคนไทยเชื้อสายจีนผู้เป็นเจ้าของกิจการห้างร้านต่างๆ จึงมีการลงโฆษณาให้แก่ผู้สนับสนุนมากมายจนกลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของหนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนเมืองโฉมใหม่ที่ไม่ค่อยได้เห็นรูปแบบนี้นัก
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น ๕ บทคือ บทที่๑ สังคมจีนสยาม บทที่ ๒ เจริญไชย : จากอดีตสู่ปัจจุบัน บทที่ ๓ คนเจริญไชย บทที่ ๔ เสียงสะท้อนจากคนมองเจริญไชย และบทส่งท้ายที่เป็นคำขอบคุณแก่มิตรภาพความช่วยเหลือต่างๆ
โดยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนจีนที่อพยพสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ชุมชนเจริญไชยใช้การอ้างอิงงานวิจัยของ จี. วิลเลียม สกินเนอร์ คือ Chinese society in Thailand : An Analytical history อันเป็นงานระดับเยี่ยมยอดและใช้อ้างอิงในกรณีต้องศึกษาเรื่องสังคมจีนในประเทศไทยกันมาอย่างสม่ำเสมอ
การเน้นเพื่อใช้คำว่า “จีนสยาม” แม้ทางชุมชนเจริญไชยจะไม่ได้อธิบายไว้มากกว่าเรียกชื่อคนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยและสืบเชื้อสายมาตามลำดับ แต่ก็มีนัยที่สำคัญ หากมีการเปรียบเทียบกับการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์กับคนท้องถิ่นในประเทศอื่นๆ ชาวจีนสยามจึงน่าจะมีอัตลักษณ์พิเศษที่กลายเป็นคนสยามได้เท่าเทียมหรืออาจจะได้สิทธิในการอยู่อาศัยและทางเศรษฐกิจการเมืองมากกว่าคนจีนในแผ่นดินอื่นๆ ค่อนข้างมากและแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
คนเจริญไชยนั้นมองตนเองว่าอยู่ใน “ย่านเจริญไชย” ซึ่งเป็นท้องถิ่นและย่านอยู่อาศัยในเมืองประวัติศาสตร์บนถนนเจริญกรุง พวกเขาทำการค้าและพึ่งพิงเกื้อกูลกับการมีอยู่ของวัดมังกรกมลาวาสมาแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ และตึกแถวที่สร้างขึ้นริมถนนนั้นก็พระราชทานแก่พระราชโอรส พระราชธิดา โดยตึกแถวบริเวณเจริญไชยนี้พระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งราชนิกูลรุ่นหลังได้ก่อตั้งมูลนิธิจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์ และตึกแถวที่เจริญไชยถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิฯ
คนเจริญไชยยังเล่าถึงคำบอกเล่าของผู้สูงวัยถึงสภาพแวดล้อมและลักษณะทางสังคมและการทำกินในอาชีพค้าขายมากกว่าอาชีพอื่นๆ และด้วยสถานที่สำคัญในการเป็นย่านของศาลเจ้า ๕ แห่ง จึงประกอบการทำสินค้าไหว้เจ้าเป็นหลัก และกลายเป็นความโดดเด่นและย่านการค้าเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ในกรุงเทพฯ ในย่านประวัติศาสตร์ที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กำลังจ้องทำเลและต้องการเข้ามาแทนที่ โดยความไม่แน่นอนเกิดขึ้นจากการทำรถไฟใต้ดินที่ทำให้ราคาที่ดินแพงมากขึ้น
การให้เช่าห้องแถวเก่าแก่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีมากเท่ากับการขายที่ดินเพื่อทำการพาณิชย์ขนาดใหญ่เมื่อปลอดจากการบังคับใช้พื้นที่และความหละหลวมของกฎหมายผังเมือง
สิ่งที่พิเศษที่สุดของหนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นบทที่ ๓ เรื่อง “คนเจริญไชย” ที่สัมภาษณ์ผู้คนต่างรุ่น ต่างเพศ ต่างวัย ที่อยู่อาศัยและทำมาหากินมาชั่วชีวิต ความชำนาญที่สั่งสมและความพยายามต่อสู้กับความไม่มั่นคงในการดำเนินชีวิตที่เกิดแก่พวกเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลั่นกรองออกมาเป็นความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อการจัดการเมืองเก่าที่ทั้งในฐานะเข้าของที่ดินและสถานที่รวมถึงผู้ดูแลมหานครใหญ่แห่งนี้ต้องรับฟัง
หากต้องการทำให้เมืองประวัติศาสตร์ยังมีชีวิตและลมหายใจ ย่านเยาวราช และคนเจริญไชยคือส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองกรุงเทพฯ จีนสยามผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงเส้นเลือดทางเศรษฐกิจแก่บ้านเมืองนี้มาแต่แรกตั้งกรุง
หากย่านและคนเจริญไชยต้องหายไปจากย่านประวัติศาสตร์เมืองกรุงเทพฯ หนังสือเล่มนี้คงเป็นอนุสรณ์แห่งความพยายาม การยืดหยัดเพื่อประกาศถึงรากเหง้าและความต้องการรักษาชีวิตวัฒนธรรมในบ้านเกิดของตนเอง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ว่าคนชาติพันธุ์ใดๆ ในสยามก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน